5 เทคนิคกลยุทธ์การตั้ง Stop Loss ที่จะช่วยให้คุณรอดในทุกตลาด
5 เทคนิคกลยุทธ์การตั้ง Stop Loss ที่จะช่วยให้คุณรอดในทุกตลาด
สำหรับคนที่เทรดทุกคนมั่นใจว่าต้องรู้จักการ Stop Loss แต่ยังมีนักเทรดบางส่วนที่ไม่เห็นความสำคัญของการใช้งาน จริงๆ แล้วอยากจะเปรียบให้ดูว่า รู้จักตั้ง Stop Loss เหมือนรู้จักวางแผนหนีไฟ เพราะตามความจริงแล้ว แม้นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ชนะทุกครั้ง แต่จะทำอย่างไรไม่ให้เสียเงินทุนไปทั้งหมด อีกทั้งมนุษย์จำเป็นต้องนอนกลางคืนเมื่อคุณหลับ หากตลาดมีความผันผวนสูง และเราไม่ได้ตั้ง Stop Loss นึกภาพไม่ออกเลยตื่นมาจะเจอกับอะไร ไม่กำไรแบบมากมาย ก็ขาดทุนระดับมหาศาล ด้วยเหตุนี้ วันนี้จึงจะมาแนะนำ 5 เทคนิคกลยุทธ์การตั้ง Stop Loss ที่จะช่วยให้คุณรอดแม้ในวันที่มีการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรุนแรง
1. การตั้ง Stop Loss แบบเปอร์เซ็นต์
การตั้ง Stop Loss แบบเปอร์เซ็นต์เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นในการเทรด เพราะใช้งานง่ายและคำนวณไม่ซับซ้อน วิธีนี้ช่วยให้คุณกำหนดขอบเขตการขาดทุนที่ยอมรับได้ โดยตั้งเป็นเปอร์เซ็นต์จากราคาซื้อ เช่น 5% หรือ 10% ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่คุณพร้อมรับมือ การคำนวณทำได้โดยคูณราคาซื้อกับเปอร์เซ็นต์ที่กำหนด ซึ่งจะได้จุด Stop Loss ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังไม่ให้ตั้งเปอร์เซ็นต์แคบหรือกว้างจนเกินไป เพราะอาจทำให้ขาดทุนเร็วเกินไปหรือพลาดโอกาสทำกำไร
2. การตั้ง Stop Loss ตามแนวรับแนวต้าน
การตั้ง Stop Loss ตามแนวรับแนวต้านเป็นเทคนิคที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถจำกัดความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยอาศัยการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคเพื่อหาจุดแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีพื้นฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพราะจะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมราคาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อวิเคราะห์กราฟแล้วพบแนวรับหรือแนวต้านที่ชัดเจน ก็สามารถกำหนดจุด Stop Loss ไว้ใต้แนวรับหรือเหนือแนวต้านเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้ราคามีพื้นที่เคลื่อนไหวได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ถูกตัดขาดทุนง่ายเกินไป วิธีนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดี โดยยังคงเปิดโอกาสให้กำไรวิ่งได้ตามแนวโน้มของตลาด
3. การใช้ Trailing Stop Loss [H2]
การใช้ Trailing Stop Loss เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้เทรดสามารถปกป้องผลกำไรและจำกัดความเสี่ยงได้อย่างยืดหยุ่น โดยกำหนดจุด Stop Loss ที่เคลื่อนที่ตามราคาสินทรัพย์ เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น จุด Stop Loss ก็จะขยับตามขึ้นไปด้วย แต่จะไม่ลดลงเมื่อราคาถอยหลัง วิธีนี้ช่วยให้เราสามารถล็อคกำไรบางส่วนไว้ได้ หากราคาพุ่งขึ้นไปไกล โดยทั่วไปเรามักกำหนดระยะห่างจากราคาปัจจุบัน เช่น 10% ซึ่งจุด Stop Loss จะปรับตัวตามราคาที่เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ข้อดีของ Trailing Stop Loss คือช่วยให้เราสามารถรักษาผลกำไรไว้ได้บางส่วน ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้กำไรวิ่งต่อไปได้ หากแนวโน้มราคายังคงเป็นบวก เทคนิคนี้จึงเหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการจัดการความเสี่ยงแบบไดนามิก และไม่อยากพลาดโอกาสทำกำไรเพิ่มเติมจากการขายทิ้งเร็วเกินไป
4. การตั้ง Stop Loss ตามความผันผวน
การตั้ง Stop Loss ตามความผันผวนเป็นเทคนิคที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับตัวได้ดีกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดยอาศัยการวิเคราะห์ความผันผวนของราคา เช่น การใช้ค่า ATR (Average True Range) เป็นตัวชี้วัด วิธีนี้ช่วยให้เราสามารถกำหนดจุด Stop Loss ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดในแต่ละช่วงเวลา ไม่ว่าตลาดจะมีความผันผวนมากหรือน้อย ทำให้เราสามารถควบคุมความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำมากขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีแผนการเทรดที่ชัดเจนและต้องการเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจ การปรับ Stop Loss ตามความผันผวนนี้ช่วยให้เราสามารถรักษาเงินทุนไว้ได้ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง และยังเปิดโอกาสให้เราได้กำไรมากขึ้นในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มชัดเจน ทำให้เรามีความยืดหยุ่นในการจัดการพอร์ตการลงทุนและสามารถปรับตัวได้ดีกับทุกสภาวะตลาด
5. การตั้ง Stop Loss แบบ Confluence
การตั้ง Stop Loss แบบ Confluence เป็นเทคนิคที่นำหลายปัจจัยมาประกอบกันเพื่อกำหนดจุดหยุดการขาดทุน ทำให้การวิเคราะห์มีความละเอียดและแม่นยำมากขึ้น เปรียบเสมือนการรวมพลังของเครื่องมือต่างๆ เช่น แนวรับแนวต้าน เส้นค่าเฉลี่ย และ Fibonacci Retracement มาช่วยกันบอกจุดที่ควรออกจากการเทรด วิธีนี้ช่วยให้นักลงทุนมองเห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนขึ้น และลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาดเพียงปัจจัยเดียว แม้ว่าการใช้ Confluence อาจดูซับซ้อนในตอนแรก แต่เมื่อคุ้นเคยแล้ว จะช่วยให้การเทรดมีระบบและมีเหตุผลมากขึ้น
ท้ายบทความ : แนะนำ Indicators ที่สามารถนำมาช่วยในการตัดสินใจตั้ง Stop Loss
ATR (Average True Range)
ATR เป็น Indicator ที่วัดความผันผวนของตลาด โดยคำนวณจากค่าเฉลี่ยของ True Range ในช่วงเวลาที่กำหนด ATR สามารถนำมาใช้กำหนดระยะห่างของ Stop Loss จากราคาปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปมักจะตั้ง Stop Loss ที่ระยะ 2-3 เท่าของค่า ATR เพื่อให้สอดคล้องกับความผันผวนของตลาด วิธีนี้ช่วยให้ Stop Loss ปรับตัวตามสภาวะตลาด
-
ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง Stop Loss จะอยู่ห่างจากราคามากขึ้น
-
ในช่วงที่ตลาดสงบ Stop Loss จะอยู่ใกล้ราคามากขึ้น
Parabolic SAR
Parabolic SAR (Stop and Reverse) แสดงจุดบนหรือใต้กราฟราคาเพื่อบ่งชี้แนวโน้มและจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นสามารถใช้เป็นระดับ Stop Loss ได้ Parabolic SAR มีข้อดีคือปรับตัวอัตโนมัติตามการเคลื่อนไหวของราคา ทำให้เป็น Trailing Stop ที่มีประสิทธิภาพ แต่ควรระวังการใช้ในตลาดที่ไม่มีทิศทางชัดเจน เพราะอาจทำให้เกิดสัญญาณหลอกได้บ่อย
-
ในแนวโน้มขาขึ้น ให้วาง Stop Loss ใต้จุด Parabolic SAR
-
ในแนวโน้มขาลง ให้วาง Stop Loss เหนือจุด Parabolic SAR
Chandelier Exit
Chandelier Exit คำนวณระดับ Stop Loss โดยใช้ค่า ATR คูณกับจุดสูงสุดหรือต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด Chandelier Exit ช่วยปรับ Stop Loss ตามความผันผวนของตลาด ทำให้สามารถอยู่ในเทรนด์ได้นานขึ้น และลดโอกาสที่จะถูก Stop Out จากความผันผวนระยะสั้น Indicator นี้เหมาะสำหรับการเทรดแบบ Trend Following วิธีการคำนวณคือ
-
สำหรับ Long Position: Chandelier Exit = Highest High - (ATR x Multiplier)
-
สำหรับ Short Position: Chandelier Exit = Lowest Low + (ATR x Multiplier)
SuperTrend Indicator
SuperTrend รวมแนวคิดของ ATR และ Moving Average เข้าด้วยกันเพื่อคำนวณระดับ Stop Loss ที่ปรับตัวตามแนวโน้มและความผันผวนของตลาด SuperTrend มีประสิทธิภาพสูงในการติดตามแนวโน้มและสามารถใช้เป็น Trailing Stop ได้ดีแต่ก็ควรใช้ร่วมกับ Indicator อื่นเพื่อยืนยันสัญญาณ วิธีการใช้คือ
-
เมื่อ SuperTrend เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง ให้ปิด Long Position
-
เมื่อ SuperTrend เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว ให้ปิด Short Position
Bollinger Bands
Bollinger Bands สามารถใช้เป็นแนวทางในการวาง Stop Loss โดยเฉพาะในตลาดที่มีการเคลื่อนไหวแบบ Sideways สำหรับ Bollinger Bands มีข้อดีคือปรับตัวตามความผันผวนของตลาด ทำให้ Stop Loss มีความยืดหยุ่น อย่างไรก็ตาม ควรระวังการใช้ในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มชัดเจน เพราะอาจทำให้ออกจากเทรนด์เร็วเกินไปวิธีการใช้คือ:
-
สำหรับ Long Position ให้วาง Stop Loss ใต้ Lower Band
-
สำหรับ Short Position ให้วาง Stop Loss เหนือ Upper Band
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน