วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขายหุ้นและสะสมเงินสดมากที่สุดในรอบ 5 ปี หรือเขารู้อะไรบางอย่าง?

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขายหุ้นและสะสมเงินสดมากที่สุดในรอบ 5 ปี หรือเขารู้อะไรบางอย่าง?

ระดับกลาง
Dec 15, 2024
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทุบสถิติสะสมเงินสด 325.2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ปี 2024 สะท้อนกลยุทธ์การลงทุนเชิงระมัดระวัง ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขายหุ้นและสะสมเงินสดมากที่สุดในรอบ 5 ปี หรือเขารู้อะไรบางอย่าง?

 

ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 บริษัท Berkshire Hathaway ภายใต้การนำของบัฟเฟตต์ ได้สะสมเงินสดสูงถึง 325.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงแนวทางที่ระมัดระวังของบัฟเฟตต์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดโลก ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมไปทั่วโลกการเงิน

 


 

เงินสดสะสมที่ทำสถิติใหม่

 

การสะสมเงินสดของ Berkshire Hathaway ในไตรมาส 3 ปี 2024 ซึ่งสูงถึง 325.2 พันล้านดอลลาร์ เป็นสัญญาณชัดเจนถึงมุมมองที่ระมัดระวังของบัฟเฟตต์ต่อสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน โดยบริษัทได้ขายหุ้นมูลค่ากว่า 36.1 พันล้านดอลลาร์โดยไม่มีการเข้าซื้อกิจการใหม่ใด ๆ ซึ่งแตกต่างไปจากกลยุทธ์ดั้งเดิมของบริษัทที่ปกติมักจะเข้าซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำในช่วงตลาดขาลง

การปรับพอร์ตลงทุนของบัฟเฟตต์มุ่งเน้นไปที่การลดสัดส่วนหุ้นใน Apple และ Bank of America โดย Apple ซึ่งเป็นหุ้นโปรดของบัฟเฟต์มาโดยตลอด ถูกขายออกอย่างต่อเนื่องติดต่อกันถึง 4 ไตรมาส ขณะที่หุ้น Bank of America ถูกขายไปกว่า 10 พันล้านดอลลาร์นับตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม 2024 สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์แม้แต่ในหุ้นที่เขาเชื่อมั่นมาอย่างยาวนาน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บัฟเฟตต์เลือกถือเงินสดในช่วงเวลาที่ตลาดมีความไม่แน่นอน ก่อนหน้าที่วิกฤตการเงินโลกในปี 2008 เขาเคยถือเงินสดสำรองจำนวนมาก และนำไปลงทุนในบริษัทอย่าง Goldman Sachs และ Bank of America ในตอนที่หุ้นเหล่านี้ราคาต่ำลงหลังจากเกิดวิกฤต เช่นเดียวกับช่วงฟองสบู่ดอทคอมในปลายปี 1990 ที่บัฟเฟตต์เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเหมือนนักลงทุนรายอื่นๆ และถือเงินสดรอจนจังหวะที่ตลาดฟองสบู่แตกเพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์ในราคาที่เหมาะสม

การถือเงินสดในระดับสูงเช่นนี้ สะท้อนถึงความเชื่อของบัฟเฟตต์ว่าตลาดอาจกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นที่ร้อนแรงเกินไป และเป็นการเตรียมพร้อมให้ Berkshire สามารถตัดสินใจได้อย่างทันท่วงทีเมื่อตลาดกลับเข้าสู่ภาวะปกติ การถือเงินสดช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน และทำให้บริษัทพร้อมรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจหรือซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำกว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

 


 

ทำไมบัฟเฟตต์ถึงถือเงินสดจำนวนมาก?

การตัดสินใจของวอร์เรน บัฟเฟตต์ในการสะสมเงินสดที่สูงถึง 325.2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ปี 2024 ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักวิเคราะห์และนักลงทุนทั่วโลก หลายฝ่ายเชื่อว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่ผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจและตลาดที่มีความไม่แน่นอนในปัจจุบัน โดยมีปัจจัยหลายประการที่อธิบายถึงแนวทางเชิงอนุรักษ์นิยมของเขา ซึ่งยึดหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) และมุมมองระยะยาว

 

ราคาหุ้นที่สูงเกินมูลค่า

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2024 เติบโตอย่างร้อนแรง โดยดัชนีสำคัญอย่าง S&P 500 มีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 20.1% การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากภาคเทคโนโลยีและสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีผลประกอบการแข็งแกร่งและได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของราคาหุ้นในหลายภาคส่วนได้สร้างความกังวล เนื่องจากราคาสินทรัพย์สูงเกินมูลค่าที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์มักเตือนอยู่เสมอ  

บัฟเฟตต์มีชื่อเสียงจากความระมัดระวังในการซื้อหุ้นที่มีราคาสูงเกินไป โดยปรัชญาการลงทุนของเขายึดหลักการมองหาสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง พร้อมเผื่อขอบเขตความปลอดภัย (Margin of Safety) เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการประเมินค่า ขณะที่โอกาสลงทุนที่สอดคล้องกับเกณฑ์ดังกล่าวเริ่มลดลง บัฟเฟตต์จึงเลือกที่จะชะลอการลงทุน ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลต่อการปรับฐานของตลาดหรือผลตอบแทนในอนาคตที่อาจลดลง  

นอกจากนี้ ราคาหุ้นในภาคเทคโนโลยีได้ไต่ระดับสูงขึ้นจนทำสถิติ ซึ่งคล้ายกับสถานการณ์ฟองสบู่ดอทคอมช่วงปลายยุค 1990 ที่บัฟเฟตต์เคยหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่มีการเก็งกำไรสูง ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นเป็นเครื่องเตือนใจให้เขาหลีกเลี่ยงการเข้าซื้อสินทรัพย์ในช่วงที่ตลาดเต็มไปด้วยความร้อนแรงเกินพอดี การลังเลของเขาในครั้งนี้สะท้อนถึงมุมมองว่า ตลาดอาจกำลังเข้าสู่ภาวะเก็งกำไรที่เสี่ยงต่อการปรับตัวลงในอนาคตอันใกล้

 

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย ทั้งอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย และปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ได้ปรับใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของธุรกิจและผู้บริโภคเพิ่มขึ้น

สถานการณ์เหล่านี้สร้างแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจ ทั้งในแง่ของกำไรของบริษัท สภาพคล่องในตลาด และความเชื่อมั่นของนักลงทุน สำหรับวอร์เรน บัฟเฟตต์ การถือเงินสดสำรองจำนวนมากถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ เงินสดช่วยให้ Berkshire Hathaway มีความยืดหยุ่น สามารถรับมือกับปัญหาทางเศรษฐกิจได้โดยไม่ต้องรีบขายสินทรัพย์ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

นอกจากนี้ เงินสดยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้บัฟเฟตต์สามารถรอจังหวะที่เหมาะสมเพื่อคว้าโอกาสใหม่ในตลาด โดยเฉพาะเมื่อสินทรัพย์บางอย่างปรับตัวลดราคาลง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เคยสร้างความสำเร็จให้เขามาแล้วในช่วงวิกฤตการเงินปี 2008 การมีเงินสดสำรองไม่เพียงช่วยให้บริษัทดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน แต่ยังช่วยให้พร้อมสำหรับการลงทุนครั้งใหญ่เมื่อจังหวะมาถึงอีกด้วย

 

การลงทุนระยะยาว: ปรัชญาแห่งความสำเร็จของบัฟเฟตต์

แนวทางการลงทุนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ยึดหลักการมองการณ์ไกลและเน้นระยะยาว คำกล่าวที่โด่งดังของเขา “ตลาดหุ้นคือเครื่องมือในการถ่ายโอนเงินจากคนที่ใจร้อนไปยังคนที่ใจเย็น” สะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่า ความสำเร็จที่แท้จริงเกิดจากการรอคอยโอกาสที่เหมาะสม แทนที่จะไล่ตามกระแสระยะสั้น

หลักการนี้เป็นแรงผลักดันให้บัฟเฟตต์ถือเงินสดจำนวนมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความร้อนแรง เขาเลือกที่จะรอจนสามารถซื้อสินทรัพย์คุณภาพสูงในราคาที่เหมาะสม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการลงทุนใน Goldman Sachs และ Bank of America ช่วงวิกฤตการเงินปี 2008 ซึ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่ยอดเยี่ยม

เงินสดในมุมมองของบัฟเฟตต์เปรียบเสมือนอาวุธสำคัญ ที่ช่วยให้เขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วและเด็ดขาดเมื่อสภาพตลาดเปลี่ยนแปลง ความอดทนนี้ไม่เพียงช่วยให้ได้จังหวะการเข้าลงทุนที่ดีกว่า แต่ยังลดความเสี่ยงในการจ่ายราคาสูงเกินไป สำหรับบัฟเฟตต์ การรอคอยด้วยความอดทนมีคุณค่ามากกว่าการลงทุนที่เก็งกำไรซึ่งไม่ผ่านการประเมินอย่างเข้มงวด

 

อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น: โอกาสและต้นทุนของการลงทุน

ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น การถือเงินสดได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากที่เคยเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนน้อยในยุคดอกเบี้ยต่ำใกล้ศูนย์ ปัจจุบัน เงินสดสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจได้ผ่านตราสารที่มีความปลอดภัย เช่น ตราสารหนี้รัฐบาล (Treasury Bills) ที่ให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตามดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น

สำหรับ Berkshire Hathaway การถือเงินสดไม่ใช่เพียงแค่การป้องกันความเสี่ยง แต่ยังเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด เงินสดกลายเป็นแหล่งรายได้ที่ช่วยรักษาสภาพคล่อง พร้อมตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การถือเงินสดช่วยลดต้นทุนทางโอกาส โดยไม่จำเป็นต้องรีบนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่อาจมีความเสี่ยงสูงหรือราคาสูงเกินมูลค่า บัฟเฟตต์เลือกที่จะสะสมเงินสดไว้ใน "คลังแสง" ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้เขารับมือกับความไม่แน่นอนในตลาด

พลังของเงินสดในมุมมองของบัฟเฟตต์ คือการเพิ่มโอกาสในอนาคต เมื่อราคาสินทรัพย์ปรับตัวลงมาสู่ระดับที่คุ้มค่า เงินสดที่ถือไว้จะช่วยให้เขาสามารถเข้าลงทุนได้ทันทีและแม่นยำ เป็นการผสมผสานระหว่างความอดทนและการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน

 


 

ผลกระทบต่อ Berkshire Hathaway

แม้ว่าการตัดสินใจของ Berkshire Hathaway ในการสะสมเงินสดจำนวนมหาศาลอาจถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่ระมัดระวังเกินไปในสายตาของนักลงทุนบางคน แต่ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทกลับแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานถึง 10.1 พันล้านดอลลาร์ แม้จะลดลง 6% จากปีก่อนหน้า ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงในธุรกิจประกันภัยซึ่งเป็นแกนหลักของบริษัท

อย่างไรก็ตาม แม้ผลกำไรจากการดำเนินงานจะลดลง แต่หุ้น Class A ของ Berkshire Hathaway กลับเพิ่มขึ้นกว่า 25% ในปี 2024 ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนี S&P 500 ที่อยู่ที่ประมาณ 20% การเติบโตนี้สะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนในความแข็งแกร่งระยะยาวของ Berkshire และเชื่อมั่นในกลยุทธ์ที่รอบคอบของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวน

อีกทั้ง ไตรมาสที่ 3 ปี 2024 ยังเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ Berkshire Hathaway ก้าวสู่การเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก นี่คือข้อพิสูจน์ถึงความสามารถในการจัดสรรเงินทุนอย่างมีวินัย และศักยภาพในการรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของบัฟเฟตต์

ความแข็งแกร่งทางการเงินของ Berkshire ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเงินสดสำรองจำนวนมาก ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นเหนือคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์หรือการซื้อหุ้นคืน และยังเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำอีกด้วย แม้การเติบโตในบางภาคธุรกิจจะชะลอตัว แต่พอร์ตธุรกิจที่หลากหลายของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนส่ง สาธารณูปโภค หรือสินค้าอุปโภคบริโภค ยังคงสร้างความมั่นคงให้ Berkshire และเสริมภาพลักษณ์ของบริษัทในฐานะทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับนักลงทุน

สุดท้าย การบริหารจัดการทางการเงินที่รอบคอบ ผลตอบแทนจากตลาดที่แข็งแกร่ง และความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ Berkshire Hathaway ยังคงเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทรงพลังที่สุด แม้บัฟเฟตต์จะเลือกใช้กลยุทธ์ที่เน้นความระมัดระวังแทนการเคลื่อนไหวแบบกล้าได้กล้าเสียในตลาดปัจจุบันก็ตาม

 


 

บทเรียนสำหรับนักลงทุน

การเคลื่อนไหวล่าสุดของวอร์เรน บัฟเฟตต์มอบบทเรียนสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกระดับ:

  • มูลค่าสินทรัพย์คือหัวใจสำคัญ

การที่บัฟเฟตต์ปฏิเสธที่จะลงทุนในตลาดที่ร้อนแรงเกินไปเน้นย้ำถึงความสำคัญของการประเมินมูลค่าสินทรัพย์อย่างแม่นยำ ความอดทนเป็นคุณสมบัติที่สำคัญ โดยเฉพาะสำหรับการลงทุนระยะยาว

  • การบริหารความเสี่ยงมีความหมายมากกว่าที่คิด

การขายหุ้นบางส่วนและการถือเงินสดจำนวนมาก สะท้อนถึงแนวทางที่เน้นการป้องกันความเสี่ยงในช่วงเวลาที่ตลาดมีความไม่แน่นอน บางครั้งการถือเงินสดก็เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดกว่า การเสี่ยงลงทุนในสินทรัพย์ที่อาจไม่คุ้มค่า

  • คิดถึงภาพรวมระยะยาว

แม้ว่าตลาดจะมีความผันผวน บัฟเฟตต์ยังคงยึดมั่นในกลยุทธ์ระยะยาวของเขา ซึ่งให้ความสำคัญกับการเติบโตที่ยั่งยืนและมูลค่าที่แท้จริง แทนที่จะไล่ตามแนวโน้มตลาดระยะสั้น หลักการนี้คือนโยบายที่นักลงทุนทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ได้

 


 

อนาคตที่รออยู่

แม้ว่าในขณะนี้บัฟเฟตต์จะเลือกถือเงินสดเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเลิกสนใจการลงทุนในหุ้น แต่ตรงกันข้าม เขาและบริษัทกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในอนาคต หากตลาดมีการปรับฐานหรือเศรษฐกิจถดถอย บัฟเฟตต์สามารถใช้กองเงินสดนี้เพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำได้ทันที เช่นเดียวกับที่เขาเคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีต

การตัดสินใจของบัฟเฟตต์ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงศิลปะแห่งการลงทุนอย่างมีวินัยและการเตรียมพร้อมในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจและตลาดมีความไม่แน่นอนสูง และสำหรับนักลงทุน การเรียนรู้จากกลยุทธ์ของเขาอาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาวสำหรับทุกคนได้

 


 

บทสรุป

การตัดสินใจของวอร์เรน บัฟเฟตต์ในการถือเงินสดจำนวนมหาศาลในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการป้องกันความเสี่ยง แต่มันเป็นสัญญาณเชิงกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงความระมัดระวังและความเชื่อมั่นแบบมีเงื่อนไข การรอคอยอย่างอดทนและการเตรียมพร้อมอย่างรอบคอบของบัฟเฟตต์ แสดงให้เห็นถึงศิลปะของการลงทุนที่มีวินัยท่ามกลางความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจและตลาดโลก

สำหรับนักลงทุน กลยุทธ์ของบัฟเฟตต์ถือเป็นบทเรียนที่ทรงคุณค่าในเรื่องของ การอดทนรอคอย การจัดการความเสี่ยง และการมองการณ์ไกลในระยะยาว แม้ว่าการตัดสินใจของเขาอาจไม่สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดในบางครั้ง แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าวิธีการของเขานำมาซึ่งผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่เสมอ

ในขณะที่บัฟเฟตต์ถือครองเงินสดจำนวนมหาศาล โลกการเงินก็จับตามองอย่างใกล้ชิด รอคอยการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของเขาในสนามการเงินที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

 

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

 


Cover Image Source : Daniel Zuchnik/WireImage I Michael Nagle/Bloomberg via / Getty Images