บทบาทของธนาคารกลางในตลาด Forex

บทบาทของธนาคารกลางในตลาด Forex

ผู้เริ่มต้น
Jan 13, 2025
เรียนรู้บทบาทสำคัญของธนาคารกลางในตลาด Forex และวิธีที่นโยบายการเงิน เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ยและการแทรกแซงค่าเงิน ส่งผลต่อมูลค่าสกุลเงินอย่างไร พร้อมตัวอย่างที่น่าสนใจ

บทบาทของธนาคารกลางในตลาด Forex

 

ธนาคารกลางถือเป็นหนึ่งในองค์กรที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกการเงิน ด้วยบทบาทที่สำคัญในการควบคุมนโยบายการเงิน กำหนดอัตราดอกเบี้ย และบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ การดำเนินการของธนาคารกลาง เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ย การควบคุมปริมาณเงิน หรือการแทรกแซงค่าเงินในตลาด ล้วนส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางตั้งแต่ระดับเศรษฐกิจภายในประเทศไปจนถึงการค้าโลกและอัตราเงินเฟ้อ

ธนาคารกลางมีอำนาจในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจผ่านเครื่องมือหลากหลายที่สามารถสร้างผลกระทบต่อมูลค่าสกุลเงิน เช่น การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจส่งผลต่อการไหลของเงินทุนระหว่างประเทศ หรือการใช้มาตรการทางการเงินเพื่อลดความผันผวนในตลาด

บทความนี้จะเจาะลึกบทบาทของธนาคารกลางในตลาด Forex และกลไกที่ทำให้พวกเขาสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในระบบการเงินระดับโลก

 


 

ธนาคารกลางคืออะไร และทำหน้าที่อะไร?

 

ธนาคารกลางเป็นสถาบันของรัฐบาลที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลจัดการสกุลเงิน นโยบายการเงิน และระบบการเงินของประเทศ ธนาคารกลางที่มีอิทธิพลสำคัญระดับโลก ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve), ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank หรือ ECB), ธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan หรือ BOJ) และธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England หรือ BOE)

หน้าที่หลักของธนาคารกลางคือการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจประเทศ โดยควบคุมอัตราเงินเฟ้อ กำหนดอัตราดอกเบี้ย และสร้างความมั่นคงให้กับระบบการเงินของประเทศ และเพื่อให้มั่นใจว่าธนาคารกลางจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ พวกเขาจึงต้องใช้มาตรการสำคัญหลายอย่าง เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ย การดำเนินนโยบายผ่านตลาดเงิน (Open Market Operations) และการกำหนดอัตราส่วนเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์

การปรับอัตราดอกเบี้ย ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่สุดของธนาคารกลาง การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจช่วยชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ ในทางกลับกัน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยช่วยลดต้นทุนการกู้ยืม กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและการลงทุนมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าของสกุลเงินในตลาด Forex และยังสามารถส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมอีกด้วย

 


 

ธนาคารกลางส่งผลต่อมูลค่าสกุลเงินอย่างไร?

 

ธนาคารกลางมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของสกุลเงิน นักเทรด Forex ควรจะต้องจับตานโยบายของธนาคารกลางอย่างใกล้ชิด เพราะแม้แต่การปรับเปลี่ยนเล็กน้อยในอัตราดอกเบี้ยหรือนโยบายการเงินก็สามารถทำให้เกิดความผันผวนครั้งใหญ่ในมูลค่าของสกุลเงินได้

  • การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมักส่งผลให้สกุลเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น นั่นเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่า ตัวอย่างเช่น หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) มักจะมีมูลค่าสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนแห่ซื้อดอลลาร์เพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า อัตราดอกเบี้ยที่สูงยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้น ซึ่งยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับสกุลเงิน

  • การปรับลดอัตราดอกเบี้ย

ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยมักทำให้สกุลเงินอ่อนค่าลง เนื่องจากอัตราผลตอบแทนที่ลดลงทำให้สกุลเงินนั้นไม่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน ความต้องการในตลาดลดลง ส่งผลให้มูลค่าของสกุลเงินลดลงตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เงินยูโร (EUR) อาจอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ

  • การดำเนินนโยบายผ่านตลาดเงิน (Open Market Operations)

นอกจากการปรับอัตราดอกเบี้ยแล้ว ธนาคารกลางยังใช้ การดำเนินนโยบายผ่านตลาดเงิน เพื่อควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ โดยกระบวนการนี้ธนาคารกลางสามารถส่งผลต่อมูลค่าของสกุลเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น:

    • การซื้อพันธบัตรรัฐบาล: เมื่อธนาคารกลางซื้อพันธบัตรรัฐบาลจากตลาด จะเป็นการเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ การมีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้นอาจทำให้สกุลเงินอ่อนค่าลง เพราะอุปทานเงินที่เพิ่มขึ้นลดมูลค่าของเงินแต่ละหน่วย
    • การขายพันธบัตรรัฐบาล: ในทางกลับกัน เมื่อธนาคารกลางขายพันธบัตรรัฐบาล จะดึงเงินออกจากระบบเศรษฐกิจ ลดปริมาณเงินหมุนเวียน ส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น

บทความที่คุณอาจสนใจ : อัตราดอกเบี้ยมีผลต่อตลาด Forex อย่างไร

 


 

การแทรกแซงค่าเงินโดยธนาคารกลาง

ในบางกรณี ธนาคารกลางจะดำเนินการแทรกแซงโดยตรงในตลาด Forex เพื่อควบคุมมูลค่าของสกุลเงิน การแทรกแซงเหล่านี้มี 2 รูปแบบหลัก:

  • การแทรกแซงโดยตรง: ธนาคารกลางเข้าซื้อหรือขายสกุลเงินของตัวเองในตลาด Forex เพื่อควบคุมมูลค่า
  • การแทรกแซงโดยคำพูด : เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางให้สัมภาษณ์หรือออกแถลงการณ์เพื่อชี้นำความคาดหวังของตลาด

ตัวอย่างที่น่าสนใจในปี 2011 คือ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เข้ามาแทรกแซงตลาด Forex เพื่อทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลง เนื่องจากในเวลานั้นค่าเงินเยนแข็งค่ามากจนทำสถิติสูงสุดเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งการที่ค่าเงินเยนแข็งเกินไปส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น เพราะสินค้าส่งออกของญี่ปุ่นจะมีราคาแพงขึ้นในตลาดโลก ทำให้แข่งขันได้ยาก

เพื่อแก้ปัญหานี้ธนาคารกลางญี่ปุ่น จึงขายเงินเยนในปริมาณมากในตลาด Forex ซึ่งเป็นการเพิ่มจำนวนเงินเยนในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนตัวลง วิธีนี้ช่วยรักษาเสถียรภาพของค่าเงินและปกป้องอุตสาหกรรมการส่งออกของญี่ปุ่นที่เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทความที่คุณอาจสนใจ : BRICS คืออะไร? ส่งผลอย่างไรกับตลาด Forex

 


 

นักเทรด Forex จะใช้ประโยชน์จากนโยบายธนาคารกลางได้อย่างไร

 

สำหรับนักเทรด Forex การติดตามนโยบายของธนาคารกลางถือเป็นเรื่องสำคัญ การเข้าใจว่าการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินส่งผลต่อมูลค่าสกุลเงินอย่างไรสามารถช่วยให้คาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดได้ดีขึ้น

เคล็ดลับการเทรดตามนโยบายธนาคารกลาง:

  • ติดตามประกาศและแถลงการณ์ของธนาคารกลาง: เหตุการณ์เหล่านี้มักสร้างความเคลื่อนไหวใหญ่ในตลาด Forex
  • ให้ความสำคัญกับ Forward Guidance: ธนาคารกลางมักส่งสัญญาณเกี่ยวกับนโยบายในอนาคตผ่านคำปราศรัยหรือรายงานเศรษฐกิจ แม้แต่การเปลี่ยนถ้อยคำเล็กน้อยก็อาจสะท้อนถึงทิศทางนโยบายที่เปลี่ยนไป
  • เฝ้าดูตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ: ธนาคารกลางอ้างอิงการตัดสินใจจากข้อมูลเศรษฐกิจ เช่น อัตราเงินเฟ้อ ตัวเลขการจ้างงาน และการเติบโตของ GDP การติดตามตัวเลขเหล่านี้ช่วยให้นักเทรดคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงนโยบายได้
  • ระวังการแทรกแซงค่าเงิน: การแทรกแซงในตลาด Forex โดยธนาคารกลางสามารถส่งผลต่อความเสี่ยงและโอกาสในการเทรด

การวิเคราะข้อมูลที่ส่งผลต่อตลาดเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการเทรดอย่างมาก เพราะทุกการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลก มักจะส่งผลต่อตลาด Forex อยู่เสมอ เทรดเดอร์ทุกสามารถติดตามความรู้การเทรด การทำกำไรได้บนแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้อย่าง IUX ที่ให้บริการเทรดสินทรัพย์ที่หลากหลายกว่า 2,000 รายการ พร้อมค่าสเปรดที่ต่ำ ช่วยเพิ่มโอกาสการทำกำไรได้มากขึ้น พร้อมทั้งการอัปเดตข่าวสารและความรู้การเทรดแบบเรียลไทม์

เปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเหล่าให้กลายเป็นโอกาส เริ่มต้นการเทรดกับ IUX ได้แล้ววันนี้ สมัครเลย!

 


 

ตัวอย่างผลกระทบที่เคยเกิดขึ้น : ธนาคารกลางสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์

การประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Open Market Committee) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 15-16 มีนาคม 2022 ที่มารูปภาพ: Federalreserve / Flickr

ในปี 2022 เป็นปีที่โลกการเงินต้องจับตาการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์เงินเฟ้อในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นถึงระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบหลายทศวรรษ ธนาคารกลางจึงต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดอย่างการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

  • การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์

ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มต้นรอบการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ในช่วงต้นปี 2022 โดยเพิ่มอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในเวลาอันสั้น การปรับดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อเศรษฐกิจในหลายด้าน แต่นี่ก็เป็นสัญญาณที่ดีต่อนักลงทุน เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่ใช้ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินหลัก เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเงินฝากในธนาคาร

นักลงทุนทั่วโลกจึงมองเห็นโอกาสในการลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ ส่งผลให้ความต้องการดอลลาร์เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้น ดอลลาร์ยังถูกมองว่าเป็น "สินทรัพย์ปลอดภัย" (Safe Haven) ในช่วงเวลาที่ตลาดการเงินมีความผันผวนจากปัญหาเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนในภูมิภาคต่างๆ เช่น ความขัดแย้งในยุโรปตะวันออกและวิกฤตพลังงานในหลายประเทศ ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่ามากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น มันส่งผลโดยตรงต่อคู่สกุลเงินอื่นๆ เช่น ยูโร เยน และปอนด์ เงินดอลลาร์กลายเป็นสกุลเงินที่โดดเด่นในตลาดโลก และคู่สกุลเงินอย่าง EUR/USD, USD/JPY และ GBP/USD ล้วนได้รับผลกระทบโดยดอลลาร์แข็งค่าอย่างชัดเจน

  • เปรียบเทียบนโยบายของสหรัฐอเมริกากับธนาคารกลางญี่ปุ่นและเงินเยน

ในทางกลับกัน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Ultra-loose Monetary Policy) อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและคงไว้ที่ระดับใกล้ศูนย์ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ยังคงเผชิญกับความท้าทาย เช่น อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ และความต้องการในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

นโยบายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างธนาคารกลางสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์อย่างมาก เนื่องจากนักลงทุนเลือกที่จะย้ายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ

 

ผลที่ตามมา

คู่สกุลเงิน USD/JPY พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 24 ปี การอ่อนค่าของเยนทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าของญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะพลังงานและวัตถุดิบจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ยังช่วยให้ญี่ปุ่นได้เปรียบในด้านการส่งออก เนื่องจากสินค้าของญี่ปุ่นมีราคาถูกลงในสายตาของผู้ซื้อทั่วโลก

 


 

บทสรุป: ธนาคารกลางกับตลาด Forex

ธนาคารกลางมีบทบาทสำคัญในตลาด Forex โดยส่งผลต่อมูลค่าสกุลเงินผ่านนโยบายการเงินและการแทรกแซง นักเทรดที่เข้าใจการทำงานของธนาคารกลางจะมีความได้เปรียบในการวางกลยุทธ์การเทรดและจัดการความเสี่ยง

แม้การคาดการณ์การเคลื่อนไหวของธนาคารกลางจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การติดตามข้อมูล เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ย Forward Guidance และตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ จะช่วยให้นักเทรดรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในโลกของ Forex ความสำเร็จมักขึ้นอยู่กับการเข้าใจว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงในตลาด และแน่นอนว่าธนาคารกลางคือผู้เล่นที่ทรงพลังที่สุดในเกมนี้

 

 




หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน