เยอรมนีและฝรั่งเศส: เสาหลักของยุโรปที่กำลังสั่นคลอน
เยอรมนีและฝรั่งเศส: เสาหลักของยุโรปที่กำลังสั่นคลอน
เยอรมนีและฝรั่งเศส สองมหาอำนาจที่ได้ชื่อว่าเป็นเสาหลักของสหภาพยุโรป (EU) กำลังเผชิญกับแรงกดดันรอบด้านจากปัญหาเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมือง ตั้งแต่หนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้น การชะลอตัวของอุตสาหกรรมหลัก ไปจนถึงการแข่งขันจากจีนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา
สถานการณ์นี้ไม่ใช่เพียงปัญหาภายในสองประเทศเท่านั้น แต่มันกำลังส่งแรงกระเพื่อมต่อเสถียรภาพของกลุ่มประเทศ EU ในภาพรวม หากเยอรมนีและฝรั่งเศสไม่สามารถฟื้นตัวได้ทันเวลา ความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหม่ในยุโรปก็จะเพิ่มขึ้น และอาจรุนแรงถึงการลุกลามกลายเป็นปัญหาระดับโลกได้
เมื่อสองเสาหลักที่เคยแข็งแกร่งเริ่มสั่นคลอน คำถามสำคัญคือ สหภาพยุโรปจะสามารถยืนหยัดต่อไปได้หรือไม่ ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการแข่งขันที่ดุเดือดกว่าที่เคย
เยอรมนีและฝรั่งเศส: เสาหลักทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปที่กำลังสั่นคลอน
พนักงานฟอร์ดที่โรงงานในเมืองโคโลญจน์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ก่อนการเยือนของนายกรัฐมนตรีเยอรมัน ถ่ายภาพโดย: Sascha Schuermann/AFP/Getty Images
เยอรมนีและฝรั่งเศสถือเป็นสองประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสหภาพยุโรป (EU) โดยเฉพาะในด้านการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทั้งสองประเทศเคยมีบทบาทโดดเด่นในการแก้ไขวิกฤติหนี้ของกรีซระหว่างปี 2009-2015 โดยเป็นผู้นำในการจัดตั้งมาตรการช่วยเหลือทางการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤติลุกลามไปยังประเทศสมาชิกอื่นๆ ในยูโรโซน ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อทั้งภูมิภาค
ในช่วงวิกฤตินั้น เยอรมนีได้แสดงบทบาทในฐานะ ผู้สนับสนุนทางการเงินรายใหญ่ โดยกำหนดมาตรการรัดเข็มขัดที่เข้มงวดเพื่อแลกกับความช่วยเหลือแก่กรีซ ขณะที่ฝรั่งเศสก็มีส่วนสนับสนุนมาตรการดังกล่าวเช่นกัน เพื่อปกป้องเสถียรภาพของ EU และรักษาค่าเงินยูโรไม่ให้ได้รับผลกระทบ
แต่ในทางกลับกัน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้พลิกโฉมไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อทั้งเยอรมนีและฝรั่งเศสกลับต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการฟื้นตัวของสองประเทศมหาอำนาจนี้กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่เคยเป็นเสาหลักในการค้ำจุนสหภาพยุโรป กำลังเสี่ยงที่จะกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจ หากสถานการณ์ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหม่อาจเกิดขึ้น โดยครั้งนี้ปัญหาอาจเริ่มต้นจากประเทศที่เคยเป็นผู้นำในการแก้ไขวิกฤติครั้งก่อนนั่นเอง
เยอรมนีและฝรั่งเศส ซึ่งเคยเป็นผู้ค้ำจุนความมั่นคงของสหภาพยุโรป กำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ตั้งแต่ การแข่งขันทางอุตสาหกรรม การเมืองภายในที่ไม่มั่นคง ไปจนถึงปัญหาภายนอกอย่าง สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ซ้ำเติมต้นทุนพลังงานและต้นทุนการผลิตให้สูงขึ้น
ความเสี่ยงด้านหนี้สินและภัยคุกคามจากการผิดนัดชำระหนี้
ปัญหาหนี้สาธารณะของฝรั่งเศสพุ่งสูงขึ้นจนแตะระดับ 112% ของ GDP ในปี 2025 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของยูโรโซนที่อยู่ที่ 93% อย่างน่ากังวล ในขณะที่เยอรมนี ซึ่งเคยเป็นต้นแบบของประเทษที่มีวินัยทางการเงินอย่างมาก กลับเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดย GDP ของพวกเขาหดตัวลง 0.3% ติดต่อกันถึงสามไตรมาส
สถานการณ์นี้สร้างความกังวลว่า ทั้งสองประเทศจะสามารถชำระหนี้สาธารณะได้หรือไม่ หากไม่สามารถควบคุมระดับหนี้สินได้ทันเวลา ความเสี่ยงที่จะเกิด การผิดนัดชำระหนี้อาจกลายเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของสหภาพยุโรปและตลาดการเงินทั่วโลก
เยอรมนีและฝรั่งเศสในฐานะ สองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของยุโรป เคยเป็นหัวใจสำคัญในการค้ำจุนความมั่นคงทางการเงินของ EU แต่การที่ทั้งสองประเทศต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สินภายใน อาจทำให้บทบาทผู้นำเหล่านั้นไม่เหมือนเดิม และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิด วิกฤตหนี้สาธารณะครั้งใหม่ในภูมิภาคนี้
หากเยอรมนีและฝรั่งเศสล้มเหลวในการบริหารจัดการหนี้สิน ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอาจ ลุกลามไปสู่ระดับโลก ส่งผลให้ตลาดการเงินเกิดความผันผวน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง และอาจทำให้ต้นทุนการกู้ยืมในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกสูงขึ้นตามไปด้วย
และสองประเทศครั้งหนึ่งเคยเป็นหลักประกันของความมั่นคงในยุโรป อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตการเงินที่ไม่มีใครคาดคิด
อุตสาหกรรมหลักที่กำลังชะลอตัว: สัญญาณอันตรายของเศรษฐกิจเยอรมนีและฝรั่งเศส
สหภาพแรงงานทรงอิทธิพลของเยอรมนีได้นำพนักงานประท้วงหยุดงาน หลังแผนการลดต้นทุนของโฟล์คสวาเกนส่งผลกระทบต่อการจ้างงานนับพันตำแหน่งและอาจนำไปสู่การปิดโรงงานหลายแห่ง ภาพโดย JENS SCHLUETER/AFP via Getty Images
หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของเยอรมนีและฝรั่งเศสชะลอตัว คือการ ถดถอยของอุตสาหกรรมหลัก ที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในอดีต
-
อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนีในภาวะวิกฤติ
ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของ GDP ของเยอรมนี กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากการแข่งขันที่ดุเดือด โดยเฉพาะจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีน
ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีต้นทุนต่ำกว่าและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยกว่า ซึ่งส่งผลให้เยอรมนีสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลกอย่างมาก
และการตอบสนองของเยอรมนีต่อการแข่งขันในครั้งนี้ก็คือการที่บริษัท Volkswagen ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของเยอรมนี ได้ประกาศ ปิดโรงงานบางแห่งและมีแผนที่จะปลดพนักงานมากกว่า 10,000 ตำแหน่ง ภายในปี 2025 เพื่อลดต้นทุนและปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของตลาด
การชะลอตัวในภาคยานยนต์ไม่ได้กระทบแค่บริษัทใหญ่ แต่ยังส่งผลไปถึงห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ตั้งแต่ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไปจนถึงแรงงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้อย่างเช่น บริษัทเหล็กหลายแห่งที่ได้ทยอยปิดโรงหล่อไปแล้วหลายแห่ง
-
วิกฤตราคาพลังงานและการผลิตที่ซบเซา
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของทั้งเยอรมนีและฝรั่งเศสตกอยู่ในภาวะลำบากคือ ต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น
สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้การนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ซึ่งเคยเป็นแหล่งพลังงานหลักของยุโรปต้องหยุดชะงัก ทำให้สองประเทศต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานทางเลือกที่มี ต้นทุนสูงขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ราคาพลังงานที่สูงขึ้นนี้ ได้ลดความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในยุโรป ทำให้ต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้หลายโรงงานต้องชะลอการผลิตหรืออาจปิดกิจการไป
ภาคการผลิตที่เคยเป็นจุดแข็งของเยอรมนีและฝรั่งเศส กำลังถูกซ้ำเติมจากทั้งต้นทุนพลังงานและการแข่งขันจากผู้ผลิตนอกภูมิภาค ส่งผลให้เศรษฐกิจในทั้งสองประเทศชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง
ความไม่เสถียรทางการเมืองที่กำลังซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจ
ภาพโดย EMMANUEL DUNAND/AFP via Getty Images
นอกจากปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้าแล้ว เยอรมนีและฝรั่งเศส ยังต้องเผชิญกับความไม่เสถียรทางการเมือง ซึ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง และการปฏิรูปสำคัญๆ ที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจต้องล่าช้าออกไป
-
ฝรั่งเศส: วิกฤตการประท้วงต่อต้านการปฏิรูปเงินบำนาญ
ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับการประท้วงครั้งใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อต่อต้านการปฏิรูปเงินบำนาญของประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง ที่เพิ่มอายุเกษียณจาก 62 ปี เป็น 64 ปี
การประท้วงเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วคราว แต่ยังยืดเยื้อและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น ปารีส มาร์แซย์ และลียง ทำให้เศรษฐกิจของฝรั่งเศสชะลอตัวลงอีก
ธุรกิจหลายแห่งต้องปิดตัวชั่วคราว การคมนาคมขนส่งหยุดชะงัก และบรรยากาศการลงทุนในประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนัก ความตึงเครียดทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น ทำให้รัฐบาลของมาครงต้องเผชิญกับแรงกดดันจากทั้งประชาชนและภาคธุรกิจ
วิกฤตนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น และชะลอการลงทุนในฝรั่งเศส ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างมาก
-
เยอรมนี: ความล่าช้าในการรับมือต่อวิกฤตพลังงานและการแข่งขันจากจีน
รัฐบาลเยอรมนีภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี โอลาฟ โชลซ์ กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับ การตอบสนองที่ล่าช้า ต่อการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น วิกฤตราคาพลังงาน และ การแข่งขันในตลาดอุตสาหกรรมกับประเทศจีน
ผู้นำภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีต่างเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการปฏิรูปและออกนโยบายใหม่ๆ เพื่อ ปกป้องความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
แต่อย่างไรก็ตาม นโยบายหลายอย่างยังคงล่าช้าและไม่ชัดเจน ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเยอรมนีลดลง และอาจส่งผลให้ประเทศสูญเสียความได้เปรียบทางเศรษฐกิจที่เคยมีในอดีต
สงครามรัสเซีย-ยูเครน: ตัวเร่งวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป
ที่มารูปภาพ: AP photo/ Efrem Lukatsky
ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ซ้ำเติมสภาพเศรษฐกิจของเยอรมนีและฝรั่งเศส โดยเฉพาะในเรื่อง ความมั่นคงด้านพลังงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นทุนหลักที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมหลักในประเทษ
ทั้งสองยักษ์ใหญ่เคยพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียเป็นจำนวนมาก เพื่อสนับสนุนการผลิตและการดำเนินธุรกิจในประเทศ แต่หลังจากที่สหภาพยุโรปประกาศคว่ำบาตรรัสเซีย ทำให้พวกเขาต้องหันไปหาแหล่งพลังงานทางเลือกที่มีต้นทุนสูงกว่าอย่างมาก
ราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น กดดันภาคการผลิต
ราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของโรงงานในยุโรปพุ่งสูงขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้ผู้ผลิตในเยอรมนีและฝรั่งเศสต้องเผชิญกับกำไรที่ลดลง และการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
เมื่อเทียบกับผู้ผลิตในสหรัฐฯ หรือจีน ซึ่งมีต้นทุนพลังงานที่ถูกกว่า ผู้ผลิตในยุโรปต้องขายสินค้าในราคาที่สูงกว่า และนั่นทำให้สินค้าของยุโรปมีความน่าสนใจลดลงจากผู้บริโภคในเวทีการค้าโลก
ผลกระทบต่อสหภาพยุโรปและเศรษฐกิจโลก: เมื่อเยอรมนีและฝรั่งเศสสั่นคลอน
หาก เยอรมนีและฝรั่งเศส ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เผชิญอยู่ได้ ผลกระทบจะลุกลามเกินกว่าขอบเขตของยุโรป และส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกในหลายมิติ
-
เสถียรภาพของเงินยูโรที่ถูกคุกคาม
เงินยูโร ซึ่งเป็นสกุลเงินร่วมของสหภาพยุโรป (EU) อาจเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรง หากสองประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภูมิภาคประสบปัญหาในการชำระหนี้ หรือเผชิญกับความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้
หากสถานการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ค่าเงินยูโรที่อ่อนค่าลงจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก เนื่องจากเงินยูโรเป็นหนึ่งในสกุลเงินสำรองหลักของโลก การอ่อนค่าของเงินยูโรจะเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดการเงิน และกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศในยุโรปทันที
-
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลง
นักลงทุนทั่วโลกอาจหมดความเชื่อมั่นในสหภาพยุโรปในฐานะศูนย์กลางการลงทุนที่เคยมั่นคง หากเศรษฐกิจของเยอรมนีและฝรั่งเศสยังคงซบเซา และปัญหาการเมืองในภูมิภาคยังคงไม่ได้รับการแก้ไข
สถานการณ์นี้อาจทำให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากยุโรป (Capital Outflow) ซึ่งจะส่งผลให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลงตามไปด้วย การลดลงของ FDI จะยิ่งซ้ำเติมการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และทำให้โอกาสในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปยากขึ้นไปอีกขั้น
- เศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ทั้ง เยอรมนีและฝรั่งเศส ถือเป็นคู่ค้ารายสำคัญของหลายประเทศทั่วโลก หากสองประเทศนี้เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะยาว ผลกระทบจะขยายไปยัง เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
-
- อุตสาหกรรมยานยนต์
- พลังงาน
- การผลิตสินค้าอุตสาหกรรม
การชะลอตัวของสองประเทศนี้จะทำให้อุปสงค์ในตลาดโลกลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อการค้าโลกในภาพรวม และอาจทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในบางภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับสหภาพยุโรป
บทเรียนจากกรีซ: สิ่งที่สหภาพยุโรปต้องเรียนรู้เพื่อป้องกันวิกฤตซ้ำรอย
ที่มาของรูปภาพ: Telegraph.co.uk
วิกฤติหนี้ของกรีซในช่วงปี 2009-2015 ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่สหภาพยุโรป (EU) ไม่ควรมองข้าม แม้ว่ากรีซจะเป็นเศรษฐกิจขนาดเล็กเมื่อเทียบกับเยอรมนีและฝรั่งเศส แต่ปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซในตอนนั้นก็เกือบทำให้ยูโรโซนทั้งระบบต้องล่มสลาย
ในช่วงวิกฤติครั้งนั้น สหภาพยุโรปจำเป็นต้องดำเนินการออกโครงการช่วยเหลือทางการเงินขนาดใหญ่กับกรีซ เพื่อรักษาเสถียรภาพของพวกเขาและป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามไปยังประเทศสมาชิกอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ความช่วยเหลือนั้นสร้างขึ้นมาโดยไม่มีเงื่อนไข มาตรการที่เรียกว่า "รัดเข็มขัด (Austerity Measures)" ถูกกำหนดขึ้นอย่างเข้มงวด ทำให้กรีซต้องเผชิญกับความไม่สงบทางสังคม การประท้วงครั้งใหญ่ และ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยยาวนานนับสิบปี
บทสรุป: การฟื้นฟูเสาหลักของสหภาพยุโรป
เยอรมนีและฝรั่งเศส ไม่ใช่แค่สองประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในยุโรป แต่ยังเป็นเสาหลักสำคัญที่คอยค้ำจุนสหภาพยุโรป ความท้าทายที่ทั้งสองประเทศกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาหนี้สาธารณะ อุตสาหกรรมที่ชะลอตัว ความไม่เสถียรทางการเมือง หรือ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น กำลังกลายเป็น ภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของภูมิภาค
เพื่อรักษาความมั่นคงในระยะยาว ทั้งเยอรมนีและฝรั่งเศสจำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาภายในประเทศอย่างเด็ดขาด เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน และกลับมาทำหน้าที่เป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปให้ได้อีกครั้ง
แน่นอนว่าหากพวกเขาล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่มีความเป็นไปได้อย่างมาก และผลกระทบที่จะตามมาจะ ลุกลามไปไกลเกินกว่าขอบเขตของยุโรปอย่างเลี่ยงไม่ได้
อนาคตของสหภาพยุโรปขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของสองประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค และในขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้กับความท้าทายนี้ สายตาทั่วโลกก็กำลังจับจ้องดูว่า พวกเขาจะฟื้นตัวได้อย่างไร และจะรักษาความเป็นผู้นำในยุโรปต่อไปได้หรือไม่
🕘 6 Jan 2025 | 4:00 PM
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน