6 หลุมพรางทางจิตวิทยาที่ทำให้นักลงทุนขาดทุน และวิธีรับมือ

6 หลุมพรางทางจิตวิทยาที่ทำให้นักลงทุนขาดทุน และวิธีรับมือ

ผู้เริ่มต้น
Feb 20, 2025
การลงทุนไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือการควบคุมอารมณ์และวินัย เรียนรู้ 6 หลุมพรางทางจิตวิทยาที่ทำให้นักลงทุนพลาด และวิธีรับมืออย่างชาญฉลาด

6 หลุมพรางทางจิตวิทยาที่ทำให้นักลงทุนขาดทุน และวิธีรับมือ

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานักลงทุนหลายคนได้หันมาสนใจเรื่องจิตวิทยาการลงทุนมากขึ้น ทั้งในโซเชียลมีเดียจนไปถึงหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนที่ขายดีและถูกแปลไปในทุกภาษา ต่งก็กล่าวถึงเรื่องจิตวิทยาการลงทุนมากขึ้น นักลงทุนหลายคนได้ตระหนักแล้วว่าตลาดหุ้นไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของตัวเลข กราฟ หรือผลประกอบการของบริษัทเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่ทดสอบวินัยและจิตวิทยาของนักลงทุนอย่างแท้จริง หลายครั้งนักลงทุนไม่ได้ขาดทุนเพราะเลือกหุ้นผิด แต่เป็นเพราะพฤติกรรมและอารมณ์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ

นักเขียนและนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่านักลงทุนที่สามารถควบคุมอารมณ์และมีวินัยในการลงทุนมักจะได้เปรียบในระยะยาว ดังนั้น การเข้าใจหลุมพรางทางจิตวิทยาของตนเองที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญ บทความนี้จะกล่าวถึงหลุมพรางทางจิตวิทยาที่พบบ่อยในการลงทุน และแนวทางรับมือเพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 


 

1. การยึดติดกับราคาหุ้นที่เคยซื้อ (Anchoring Bias)

นักลงทุนกลายคนมักมีแนวโน้มที่จะยึดติดกับราคาที่พวกเขาเคยซื้อหุ้นไว้ โดยพวกเขาจะมองว่าหุ้นตัวนั้นจะมีมูลค่าเท่ากับราคาที่ตนเองเคยจ่ายเงินซื้อไป ตัวอย่างเช่น หากเคยซื้อหุ้นที่ราคา 100 บาท แต่ราคากลับลดลงมาเหลือ 70 บาท พวกเขาจะรอให้ราคากลับไปที่เดิมก่อนจะตัดสินใจขาย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ราคาหุ้นควรได้รับการประเมินจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้น ไม่ใช่จากต้นทุนเดิมของนักลงทุน

แนวทางการรับมือ:

  • ประเมินมูลค่าหุ้นจากข้อมูลปัจจุบันและศักยภาพของธุรกิจ ไม่ใช่จากราคาที่คุณเคยซื้อ
  • ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ถ้าเรายังไม่เคยซื้อหุ้นตัวนี้ จะยังสนใจลงทุนหุ้นตัวนี้ที่ราคาปัจจุบันหรือเปล่า”
  • ใช้หลักการบริหารความเสี่ยง หากหุ้นที่ถืออยู่ไม่มีแนวโน้มเติบโต อาจพิจารณาขายและนำเงินไปลงทุนในโอกาสที่ดีกว่า

การลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่เป็นเรื่องของวิธีคิดและการตัดสินใจอย่างฉลาด นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ IUX ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มเทรด แต่เป็นพื้นที่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการพัฒนาตัวเองและก้าวนำหน้าตลาด ที่ IUX คุณจะได้รับข้อมูลเจาะลึกจากผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือช่วยบริหารความเสี่ยง และอัปเดตตลาดแบบเรียลไทม์ที่ช่วยให้คุณวางแผนได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีระบบติดตามพอร์ตการลงทุนที่ใช้งานง่ายและสัญญาณเตือนแนวโน้มตลาดล่วงหน้า ไม่ว่าคุณต้องการเพิ่มผลกำไร ปรับกลยุทธ์หรือพัฒนาทักษะการลงทุนระยะยาว IUX พร้อมสนับสนุนคุณทุกขั้นตอนเพื่อให้คุณเทรดอย่างมั่นใจและสร้างความมั่นคงทางการเงินที่ยั่งยืน มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ IUX วันนี้ และก้าวสู่อนาคตทางการเงินที่มั่นคงด้วยตัวคุณเอง!

 


 

2. ความมั่นใจมากเกินไป (Overconfidence Bias)

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไปในบรรดานักลงทุนมือใหม่รวมไปถึงมืออาชีพ นักลงทุนบางคนมีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองมากเกินไป จนทำให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยงอย่างเช่น ทำการซื้อขายหุ้นบ่อยเกินไป หรือเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงโดยไม่ได้พิจารณาข้อมูลรอบด้าน ความมั่นใจที่มากเกินไปเหล่านี้อาจทำให้มองข้ามปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนได้

แนวทางรับมือ:

  • หมั่นตรวจสอบและทบทวนสมมติฐานในการลงทุนอยู่เสมอ
  • เปิดรับข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่หลากหลาย และเชื่อถือได้ รวมถึงไม่พึ่งพาความรู้สึกส่วนตัวมากเกินไป
  • ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และการวิเคราะห์ทางการเงินของบริษัทที่จะลงทุนมากกว่าความเชื่อส่วนตัว

 


 

3. การตามกระแสตลาด (Herd Mentality)

อีกข้อผิดพลาดของนักลงทุนก็คือการตัดสินใจลงทุนโดยอาศัยกระแสของตลาดหรือการลงทุนตามพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุนรายอื่นโดยไม่ได้พิจารณาปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวนั้น นักลงทุนจำนวนมากจะเข้าซื้อหุ้นเพราะเห็นว่าราคากำลังเพิ่มขึ้น หรือหุ้นตัวนั้นกำลังเป็นที่นิยมในในหมู่นักลงทุนในขณะนั้น แต่พวกเขากลับไม่ได้ศึกษาว่าหุ้นดังกล่าวมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาวจริงหรือไม่

แนวทางรับมือ:

  • ศึกษาข้อมูลของหุ้นแต่ละตัวให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน
  • หลีกเลี่ยงการตัดสินใจโดยใช้ความรู้สึกหรือแรงจูงใจจากกระแสสังคมหรือข่าวต่างๆ
  • ลองถามตนเองว่า “ถ้าไม่มีใครพูดถึงหุ้นตัวนี้ให้คุณได้ยิน คุณจะยังสนใจลงทุนในหุ้นตัวนี้หรือไม่”

 


 

4. ความกลัวการขาดทุน (Loss Aversion Bias)

เป็นธรรมชาติของนักลงทุนที่มักให้ความสำคัญกับการที่จะ "ไม่ยอมขาดทุน" มากกว่าการทำกำไร  ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น หากหุ้นที่พวกเขาถืออยู่มีราคาลดลง นักลงทุนอาจลังเลที่จะขายหุ้นตัวนั้นออกเพราะไม่ต้องการขาดทุน เหมือนกับคำพูดที่หลายคนเคยได้ยินว่า "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน" ทั้งที่บางครั้งหุ้นตัวนั้นอาจไม่มีศักยภาพในการฟื้นตัวอีกต่อไปแล้ว

แนวทางรับมือ:

  • ยอมรับให้ได้ว่าการขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน และเป็นโอกาสในการเรียนรู้
  • มองการลงทุนในภาพรวมระยะยาวมากกว่าการตัดสินใจเฉพาะครั้งเดียว
  • ตัดสินใจซื้อหุ้นโดยพิจารณาข้อมูลเชิงวิเคราะห์ มากกว่าความรู้สึกส่วนตัว

 


 

5. การยึดติดกับหุ้นที่เคยทำกำไรให้เรา (Endowment Effect)

นักลงทุนมักมีความผูกพันกับหุ้นที่เคยให้ผลตอบแทนที่ดีในอดีต และลังเลที่จะขาย แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจะเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งนี้อาจทำให้พลาดโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่า

แนวทางรับมือ:

  • ประเมินมูลค่าหุ้นใหม่เป็นระยะ อย่ายึดติดกับหุ้นเพียงเพราะเคยทำกำไร
  • และอีกครั้ง ถามตนเองเสมอว่า “ถ้ายังไม่เคยซื้อหุ้นตัวนี้ จะยังตัดสินใจซื้อหุ้นตัวนี้ที่ราคาปัจจุบันหรือไม่”
  • เรียนรู้หุ้นตัวใหม่ๆ และปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสม

 


 

6. ความลังเลในการปรับพอร์ต (Status Quo Bias)

นักลงทุนบางคนหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงพอร์ตการลงทุนของตนเอง แม้ว่าจะมีสัญญาณที่บ่งบอกว่าควรปรับเปลี่ยน หรือบางคนปล่อยให้พอร์ตการลงทุนอยู่ในรูปแบบเดิมเป็นเวลานาน โดยไม่ได้ตรวจสอบว่าหุ้นแต่ละตัวยังเหมาะสมกับสภาวะตลาดหรือไม่ การคงสภาพพอร์ตไว้แบบเดิม อาจทำให้พลาดโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่า

แนวทางรับมือ:

  • นักลงทุนควรกำหนดรอบการตรวจสอบพอร์ตเป็นประจำ เช่น ทุกไตรมาส หรือปีละครั้ง โดยใช้ข้อมูลปัจจัยพื้นฐานของหุ้น และแนวโน้มเศรษฐกิจมาประกอบการตัดสินใจ
  • อย่ากลัวที่จะขายหุ้นที่ไม่มีแนวโน้มเติบโต เพื่อนำเงินไปลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสดีกว่า
  • ใช้ข้อมูลและเหตุผลในการปรับพอร์ต มากกว่าความรู้สึกส่วนตัว

 


 

บทสรุป

การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการวิเคราะห์ตัวเลขหรือแนวโน้มเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเรื่องของจิตวิทยาการลงทุน นักลงทุนที่สามารถควบคุมอารมณ์ มีวินัย และตัดสินใจอย่างเป็นระบบ มักจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าผู้ที่ปล่อยให้ความรู้สึกมีอิทธิพลเหนือเหตุผล

การใช้ข้อมูลเป็นหลักในการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการปล่อยให้อารมณ์เข้ามามีบทบาทมากเกินไปอาจทำให้การลงทุนขาดประสิทธิภาพ การมองภาพระยะยาวช่วยให้นักลงทุนเข้าใจว่าความผันผวนของตลาดเป็นเรื่องปกติ การปรับตัวและอดทนคือกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุน อีกทั้งการทบทวนและปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนยังเหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง และไม่ยึดติดกับหุ้นเพียงเพราะเคยทำกำไรในอดีต

สุดท้ายแล้ว การลงทุนที่มีประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำนายตลาดอย่างแม่นยำ แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลและการบริหารอารมณ์ให้มั่นคงในทุกสภาวะ นักลงทุนที่สามารถควบคุมปัจจัยเหล่านี้ได้ย่อมมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและเติบโตในระยะยาว

 

 

 

 

 

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน