
กลยุทธ์การเทรด CFD ให้ได้กำไรสำหรับมือใหม่และนักเทรดมืออาชีพ
กลยุทธ์การเทรด CFD ให้ได้กำไรสำหรับมือใหม่และนักเทรดมืออาชีพ
CFD หรือ Contract for Difference เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักเทรด เนื่องจากช่วยให้สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ดัชนี ฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือแม้แต่คริปโต
CFD มีจุดเด่นที่แตกต่างจากการลงทุนแบบดั้งเดิม เช่น การใช้เลเวอเรจ (Leverage) ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถเปิดสถานะที่มีมูลค่าสูงกว่าทุนที่มีอยู่จริง และการทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถใช้ประโยชน์จากทุกสภาวะตลาด
แต่สิ่งที่ทำให้ CFD เป็นตลาดที่มีโอกาสมาก ก็เป็นสิ่งที่ทำให้มันเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน นักเทรดที่ไม่มีแผนการหรือกลยุทธ์ที่ชัดเจนอาจพบกับการสูญเสียที่รุนแรงได้ วันนี้เราจะมาดูกลยุทธ์สำคัญในการเทรด CFD ทั้งสำหรับมือใหม่และนักเทรดมืออาชีพ เพื่อให้คุณสามารถควบคุมความเสี่ยงและสร้างกำไรได้อย่างยั่งยืน
CFD คืออะไร และทำไมถึงได้รับความนิยม?
CFD เป็นตราสารทางการเงินที่ให้นักเทรดสามารถเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ โดยไม่ต้องถือครองสินทรัพย์นั้นจริง ๆ เมื่อทำการซื้อขาย CFD คุณจะทำสัญญากับโบรกเกอร์ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง และรับผลต่างของราคาตอนเปิดและปิดสถานะ
ข้อดีของ CFD:
- สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง – สามารถเปิดสถานะ Long (ซื้อ) หรือ Short (ขาย) ได้
- ใช้เลเวอเรจช่วยเพิ่มอำนาจการลงทุน – สามารถเปิดสถานะที่มีขนาดใหญ่กว่าทุนที่มีจริง
- เข้าถึงตลาดการเงินทั่วโลก – สามารถเทรดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ฟอเร็กซ์ และคริปโตในแพลตฟอร์มเดียว
- ต้นทุนต่ำกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม – ไม่มีค่าธรรมเนียมในการเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง
อย่างไรก็ตาม CFD ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงสูง เนื่องจากการใช้เลเวอเรจอาจทำให้ขาดทุนเกินกว่าทุนที่มีอยู่ และค่าธรรมเนียมถือสถานะข้ามคืนอาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรหากถือสถานะนานเกินไป
บนแพลตฟอร์มอย่าง IUX คุณสามารถเทรด CFD ได้ใน 6 ประเภทสินทรัพย์หลัก ไม่ว่าจะเป็น
-
ฟอเร็กซ์ (Forex) – คู่สกุลเงินยอดนิยม เช่น EUR/USD, USD/JPY
-
หุ้น (Stocks) – หุ้นจากตลาดใหญ่ทั่วโลก เช่น Apple, Tesla, Amazon
-
ดัชนี (Indices) – เช่น S&P 500, NASDAQ, DAX
-
คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) – เทรดเหรียญยอดนิยมอย่าง Bitcoin, Ethereum
-
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) – เช่น ทองคำ น้ำมัน กาแฟ
-
ETF – ลงทุนในกองทุนรวมดัชนีที่สะท้อนภาพรวมของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ด้วยเครื่องมือครบครัน สเปรดต่ำ ไม่มีค่าคอมมิชชัน และระบบที่รองรับทั้งมือถือและเดสก์ท็อป IUX มอบประสบการณ์การเทรดที่ราบรื่นและปลอดภัยสำหรับทุกระดับ สมัครเทรดกับ IUX ได้แล้ววันนี้และสร้างพอร์ตการลงทุนของคุณไปกับเรา
กลยุทธ์การเทรด CFD สำหรับมือใหม่
เทรดตามแนวโน้ม (Trend Following Strategy)
แนวโน้มเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเทรด CFD นักเทรดมือใหม่ควรเน้นเทรดตามแนวโน้มของตลาด แทนที่จะพยายามจับจังหวะกลับตัวของราคา ซึ่งอาจมีความเสี่ยงสูง
หลักการ:
- ใช้ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เช่น EMA 50 และ EMA 200 เพื่อดูแนวโน้ม
- หาก EMA 50 อยู่เหนือ EMA 200 แสดงแนวโน้มขาขึ้น → เปิดสถานะ Long
- หาก EMA 50 อยู่ต่ำกว่า EMA 200 แสดงแนวโน้มขาลง → เปิดสถานะ Short
การเทรดแบบ Breakout (Breakout Strategy)
การเทรดแบบ Breakout เป็นการเข้าซื้อหรือขายเมื่อราคาทะลุแนวต้านหรือแนวรับที่สำคัญ เพื่อจับจังหวะที่ราคาจะเคลื่อนไหวรุนแรง
หลักการ:
- ระบุแนวรับและแนวต้านจากกราฟราคา
- เมื่อราคาทะลุแนวต้านพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น → เปิดสถานะ Long
- เมื่อราคาทะลุแนวรับและมีแรงขายเพิ่มขึ้น → เปิดสถานะ Short
Breakout เป็นกลยุทธ์ที่มีโอกาสสร้างกำไรได้สูง แต่ต้องตั้ง Stop Loss เสมอ เพราะบางครั้งราคาจะ "หลอก" ให้เทรดเดอร์เข้าผิดทางก่อนจะกลับตัว
กลยุทธ์การเทรด CFD สำหรับนักเทรดมืออาชีพ
การเทรดระยะสั้นแบบ Scalping (Scalping Strategy)
Scalping เป็นการเทรดที่เน้นการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสั้น ๆ ภายในไม่กี่นาที ซึ่งต้องอาศัยความเร็วและความแม่นยำสูง
หลักการ:
- ใช้กราฟ 1 นาที หรือ 5 นาที
- ใช้ Bollinger Bands และ Stochastic Oscillator เพื่อตรวจจับจุดเข้าซื้อและขาย
- ตั้ง Stop Loss ที่แน่นอนและไม่ถือสถานะนานเกินไป
Scalping เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในตลาดที่มีความผันผวน แต่ต้องใช้ความรวดเร็วและมีวินัยสูง
การป้องกันความเสี่ยงด้วย Hedging (Hedging Strategy)
Hedging เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อลดความเสี่ยง โดยการเปิดสถานะที่ตรงข้ามกันในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง
หลักการ:
- หากถือ Long Position ในหุ้น สามารถเปิด Short Position ในดัชนีหุ้นที่เกี่ยวข้องเพื่อลดความเสี่ยง
- ใช้ทองคำเป็น Hedge เมื่อดอลลาร์อ่อนค่า
Hedging ช่วยให้พอร์ตการลงทุนมีความสมดุลขึ้น แต่ต้องมีการบริหารต้นทุนที่ดี เพราะการถือสถานะตรงข้ามอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น
บทเรียนจากตลาดการเงิน: การพิมพ์เงินของธนาคารกลางและผลกระทบต่อ CFD
หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อ CFD อย่างมากคือ นโยบายการเงินของธนาคารกลาง โดยเฉพาะการพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
- ก่อนปี 1971 ระบบการเงินโลกอยู่ภายใต้ มาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ซึ่งหมายความว่าเงินที่พิมพ์ออกมาต้องมีทองคำสำรองรองรับ
- แต่เมื่อสหรัฐฯ ยกเลิกมาตรฐานทองคำ ธนาคารกลางสามารถพิมพ์เงินได้โดยไม่มีข้อจำกัด ทำให้ ค่าเงินลดลงและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
ผลกระทบต่อ CFD:
- เมื่อธนาคารกลางพิมพ์เงินเพิ่ม มูลค่าของเงินกระดาษมักลดลง → ราคาสินทรัพย์ เช่น หุ้นและทองคำ มักปรับตัวสูงขึ้น
- อัตราดอกเบี้ยต่ำช่วยให้ CFD หุ้นและดัชนีมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น
- ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอาจทำให้ตลาดมีความผันผวนสูง ซึ่งเป็นโอกาสของนักเทรด CFD
สรุป: เทรด CFD อย่างไรให้ได้กำไรในระยะยาว?
- เข้าใจพื้นฐานของ CFD และบริหารความเสี่ยงให้ดี
- เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับสไตล์การเทรดของคุณ
- ติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของธนาคารกลาง
- ใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น Trend Following, Breakout, Scalping และ Hedging อย่างเหมาะสม
- เรียนรู้จากข้อผิดพลาดและปรับปรุงแผนการเทรดเสมอ
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ การมีวินัยและความเข้าใจตลาดคือกุญแจสู่ความสำเร็จในการเทรด CFD
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน