สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) คือ? พาทุกคนไปรู้จักแบบละเอียดก่อนลงทุน
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) คือ? พาทุกคนไปรู้จักแบบละเอียดก่อนลงทุน
สำหรับคนที่เข้ามาเทรดในยุคปัจจุบันอาจจะไม่คุ้นเคยการเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้เลือกอย่างหลากหลาย แต่จริงๆ แล้วการเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่เคยหายไปไหนจากโลกของเรายังคงเป็นพลังขับเคลื่อนเบื้องหลังชีวิตประจำวันของเรา เพราะตั้งแต่เมล็ดพืช น้ำมันสู่ทองคำ ก็ล้วนแต่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งนั้น มีบทบาทสำคัญในการผลิตสินค้าและบริการต่างๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน โดยวันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักมันอย่างละเอียด เป็นพื้นฐานที่ดีก่อนลงทุน
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) คืออะไร?
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) เป็นผลิตภัณฑ์หรือวัตถุดิบที่มีบทบาทหลักในการผลิตสินค้าและบริการต่างๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน สินค้าเหล่านี้มักมีมาตรฐานคุณภาพที่เหมือนกันไม่ว่าจะผลิตจากที่ไหน ทำให้สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้ง่ายในตลาดโลก ตัวอย่างของสินค้าโภคภัณฑ์ที่เราคุ้นเคย เช่น น้ำมัน ทองคำ ข้าว กาแฟ และแร่ธาตุต่างๆ สินค้าเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคมากมาย ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์มักมีความผันผวนตามปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ หรือสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าปลายทางที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน
การขึ้นลงราคาของสินค้าโภคภัณฑ์มีลักษณะอย่างไร
ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของตลาดโลก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง ทำให้ราคามีความผันผวนตามสภาวะตลาด เศรษฐกิจ และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์และอุปทาน เช่น สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ หรือนโยบายของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภครายใหญ่ ด้วยลักษณะเหล่านี้ สินค้าโภคภัณฑ์จึงเป็นสินค้าที่มีการซื้อขายกันอย่างกว้างขวางในตลาดโลก และมักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนและป้องกันความเสี่ยงทางการเงินด้วย โดยเราจะเขียนสรุปให้ว่า ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์มีปัจจัยอะไรที่ส่งผลบ้าง
-
อุปสงค์และอุปทาน
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ถูกกำหนดโดยความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก การเปลี่ยนแปลงในความต้องการหรือปริมาณการผลิตสามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคา
-
สภาพอากาศและภัยธรรมชาติ
โดยเฉพาะสำหรับสินค้าเกษตร สภาพอากาศที่แปรปรวน เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม หรือภัยธรรมชาติอื่นๆ สามารถส่งผลกระทบต่อผลผลิตและราคาได้อย่างมาก
-
ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์
ความขัดแย้งทางการเมือง สงคราม หรือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจในประเทศผู้ผลิตสำคัญสามารถส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้
-
นโยบายของกลุ่มผู้ผลิต
การตัดสินใจของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น OPEC สำหรับน้ำมัน สามารถมีอิทธิพลต่อราคาในตลาดโลกได้
-
การเก็งกำไร
การซื้อขายของนักเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์สามารถเพิ่มความผันผวนของราคาได้
-
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถส่งผลต่อการผลิตหรือการใช้งานสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งจะกระทบต่อราคาในระยะยาว
-
อัตราแลกเปลี่ยน
เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์มักซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินดอลลาร์สามารถส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้
-
แนวโน้มการบริโภค
การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น การหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น สามารถส่งผลต่อความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทได้
ประเภทของสินค้าโภคภัณฑ์
โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถแบ่งสินค้าโภคภัณฑ์ออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ Hard Commodity และ Soft Commodity ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป
Hard Commodity
Hard Commodity คือสินค้าโภคภัณฑ์ที่มาจากการขุดหรือสกัดจากธรรมชาติ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป ต้องใช้เงินลงทุนสูงในการผลิต มักดำเนินการโดยบริษัทขนาดใหญ่ สามารถเก็บรักษาได้นาน มีความผันผวนของราคาต่ำกว่า Soft Commodity การซื้อขายส่วนใหญ่เป็นการค้าระหว่างประเทศ ตัวอย่างของ Hard Commodity ได้แก่ โลหะต่างๆ เช่น ทองคำ เงิน ทองแดง เหล็ก รวมไปถึงแหล่งพลังงานอย่างน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ
Soft Commodity
Soft Commodity คือสินค้าโภคภัณฑ์ที่มาจากการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ เป็นผลผลิตทางการเกษตรที่สามารถปลูกทดแทนได้ ส่วนใหญ่เป็นผลผลิตทางการเกษตรที่ใช้ในการบริโภคหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีอายุการเก็บรักษาจำกัด ราคามีความผันผวนสูงกว่า Hard Commodity เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศและปัจจัยแวดล้อม ตัวอย่างของ Soft Commodity ได้แก่ พืชผลทางการเกษตรอย่างข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เป็นต้น
ก่อนเทรดมาเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์
การเทรดสินค้าโภคภัณฑ์มีความซับซ้อนไม่น้อย ก่อนจะเริ่มเทรด เราควรทำความเข้าใจปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้ดีเสียก่อน เพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์นั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร้เหตุผล แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้อง การรู้และเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เราวิเคราะห์แนวโน้มราคาได้แม่นยำขึ้น และทำให้การตัดสินใจเทรดของเรามีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น
มาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์
-
อุปสงค์และอุปทานตามธรรมชาติ : เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ถ้าความต้องการ (อุปสงค์) มีมากกว่าปริมาณสินค้าที่มี (อุปทาน) ราคาก็จะสูงขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าอุปทานมีมากกว่าอุปสงค์ ราคาก็จะลดลง เช่น ถ้าผลผลิตข้าวโพดออกมามาก แต่ความต้องการบริโภคมีน้อย ราคาข้าวโพดก็จะตกต่ำ
-
อุปสงค์และอุปทานเกิดจากการเก็งกำไร : นอกจากอุปสงค์และอุปทานตามธรรมชาติแล้ว ยังมีอุปสงค์และอุปทานที่เกิดจากการเก็งกำไรด้วย นักลงทุนหรือเทรดเดอร์อาจซื้อสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อเก็บไว้ขายในราคาที่สูงขึ้น หรือขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าโดยคาดว่าจะซื้อคืนในราคาที่ต่ำลง พฤติกรรมเหล่านี้สามารถส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวนได้
-
สภาพอากาศ : สภาพอากาศมีผลอย่างมากต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ถ้าเกิดภาวะแห้งแล้ง ผลผลิตพืชผลทางการเกษตรก็จะลดลง ทำให้ราคาสูงขึ้น หรือถ้าอากาศหนาวจัดผิดปกติ อาจทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพื่อทำความร้อนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
-
ภัยธรรมชาติ : ภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหว พายุ หรือน้ำท่วม สามารถส่งผลกระทบรุนแรงต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ เพราะอาจทำลายแหล่งผลิตหรือเส้นทางขนส่ง ทำให้อุปทานลดลงอย่างฉับพลัน เช่น หากเกิดแผ่นดินไหวในแหล่งผลิตน้ำมัน ก็อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
-
สงคราม : สงครามเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นในประเทศที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ สงครามอาจทำให้การผลิตหยุดชะงัก เส้นทางขนส่งถูกตัดขาด หรือเกิดการคว่ำบาตรทางการค้า ซึ่งล้วนส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวนอย่างมาก (ดูกรณีตัวอย่างราคาน้ำมันได้ ในช่วงที่มีสงครามรัสเซียกับยูเครนราคาน้ำมันเคยพุ่งทะลุระดับ 120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลมาแล้ว)
-
นโยบายของประเทศผู้ผลิต : นโยบายของประเทศผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์มีอิทธิพลต่อราคาอย่างมาก เช่น การตัดสินใจเพิ่มหรือลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก (OPEC) มีผลโดยตรงต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก หรือนโยบายส่งเสริมการส่งออกของประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ ก็อาจทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกเปลี่ยนแปลงได้
แนะนำสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) ที่มี Volume สูงที่สุด
น้ำมันดิบ
-
WTI Crude Oil (น้ำมันดิบ WTI): เป็นมาตรฐานสำหรับราคาน้ำมันในอเมริกาเหนือ
-
Brent Crude Oil (น้ำมันดิบเบรนท์): เป็นมาตรฐานสำคัญสำหรับราคาน้ำมันทั่วโลก มีผลกระทบโดยตรงต่อราคาพลังงาน ตลาดหุ้น และค่าขนส่ง
ทองคำ
-
ทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายสูงอีกประเภทหนึ่ง นักลงทุนมักมองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน
ก๊าซธรรมชาติ
-
ก๊าซธรรมชาติเป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่มีการซื้อขายในปริมาณมาก ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ให้ความร้อน และเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่างๆ
สินค้าเกษตร
-
ถั่วเหลือง : เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญสำหรับการบริโภคของมนุษย์และสัตว์ รวมถึงใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร
-
ข้าวโพด : เป็นพืชที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายและมีประโยชน์หลากหลาย ใช้เป็นอาหารหลัก อาหารสัตว์ และวัตถุดิบในอุตสาหกรรม เช่น การผลิตเอทานอล
-
กาแฟ : มีความต้องการสูงทั่วโลก เป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มกันทั่วโลก
โลหะอุตสาหกรรม
-
ทองแดง : เป็นโลหะที่มีการซื้อขายสูง เนื่องจากมีการใช้งานอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมการผลิต
-
เหล็ก : เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน และการก่อสร้าง
กลยุทธ์ในการเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities)
การเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) เป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยความเข้าใจในหลายมิติ นักเทรดมืออาชีพมักใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อวิเคราะห์และคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา โดยทั่วไปแล้ว กลยุทธ์เหล่านี้แบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก ได้แก่ การวิเคราะห์พื้นฐาน การวิเคราะห์ทางเทคนิค และการวิเคราะห์ตามสถานการณ์ แต่ละวิธีมีจุดแข็งและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การผสมผสานทั้งสามวิธีนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-
การวิเคราะห์พื้นฐาน
การวิเคราะห์พื้นฐานเป็นการพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในระดับมหภาค โดยมุ่งเน้นที่อุปสงค์และอุปทาน การประเมินความต้องการและปริมาณการผลิตของสินค้าโภคภัณฑ์นั้นๆ ช่วยให้เข้าใจแนวโน้มราคาในอนาคต ปัจจัยภายนอก เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ สภาพอากาศ และนโยบายของรัฐบาลล้วนส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ การติดตาม GDP อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยช่วยให้เห็นภาพรวมของเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์
-
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
การวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายในอดีตเพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต วิธีนี้ประกอบด้วย ใช้ Indicators เพื่อระบุแนวโน้มและจุดเข้า-ออกที่เหมาะสม การวิเคราะห์รูปแบบ เช่น Head and Shoulders, Triangles และ Flags ช่วยในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม ใช้ RSI (Relative Strength Index) ช่วยในการระบุจุดซื้อขายที่เหมาะสมสำหรับการเทรดระยะสั้น
-
กลยุทธ์การเทรดตามสถานการณ์
โดยกลยุทธ์นี้ปรับเปลี่ยนตามสภาวะตลาด แบ่งเป็น การเทรดแบบ Range ที่เหมาะสำหรับตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบ โดยซื้อที่แนวรับและขายที่แนวต้าน และการเทรดแบบ Breakout เข้าสถานะเมื่อราคาทะลุแนวต้านหรือแนวรับสำคัญ เพื่อรับประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว
-
การเทรดตามฤดูกาล
การเทรดตามฤดูกาลอาศัยความเข้าใจในวงจรการผลิตและการบริโภคของสินค้าโภคภัณฑ์แต่ละประเภท สินค้าเกษตรบางชนิดมีราคาที่แปรผันตามฤดูกาลการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว หรือดูความสัมพันธ์กับค่าเงิน USD ที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มักมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ นักเทรดอาจพิจารณาขายเมื่อ USD แข็งค่าและซื้อเมื่อ USD อ่อนค่า
ข้อเพิ่มเติมในเทรดสินค้าโภคภัณฑ์
การศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ จะทำให้คุณหากลยุทธ์ที่เหมาะสมได้ ทำให้คุณสามารถประสบความสำเร็จได้ ในตลาดมีวิธีมากมายในการเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ และอย่าลืมที่จะ ศึกษาการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และให้มีวินัยในการเทรด จำเอาไว้ว่าทุกการเทรดมีทั้งโอกาสและความเสี่ยง ดังนั้นจงเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เรียนรู้จากประสบการณ์ และปรับกลยุทธ์ของคุณตามสถานการณ์ ด้วยความอดทน ความมุ่งมั่น และทัศนคติที่เปิดกว้างในการเรียนรู้ คุณจะสามารถพัฒนาทักษะและสร้างความสำเร็จในการเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ได้ คำแนะนำสุดท้ายคือ “ไม่ควรประมาท อย่าคาดหวังมากเกินไปจนใช้อารมณ์ในการเทรด!” ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จ