ส่อง 7 บริษัทสัญชาติจีนที่จดทะเบียนในตลาด Nasdaq
ส่อง 7 บริษัทสัญชาติจีนที่จดทะเบียนในตลาด Nasdaq
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทจากประเทศจีนกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาดหุ้นโลก โดยมีบริษัทหลายแห่งได้จดทะเบียนในตลาด Nasdaq ตลาดหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาที่มีชื่อเสียงจากการเป็นที่ตั้งของหลายบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลก และเป็นเวทีให้กับธุรกิจจีนได้เปิดเผยตัวสู่สากลและเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
ในบทความนี้ เราจะมาสำรวจว่า 7 บริษัทจีนที่โดดเด่นเหล่านี้ซึ่งจดทะเบียนในตลาด Nasdaq ว่าอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมประเภทใดบ้าง และมีบทบาทอย่างไรในการกำหนดแนวโน้มการลงทุนระดับโลก
1. Alibaba Group (BABA)
กลุ่มธุรกิจ: E-commerce, เทคโนโลยี
hxdbzxy / Shutterstock.com
Alibaba ก่อตั้งโดย Jack Ma ในปี 1999 และเติบโตจากบริษัท E-commerce ขนาดเล็กสู่การเป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่มีธุรกิจครอบคลุมหลากหลายกลุ่ม ธุรกิจหลักของ Alibaba ในด้าน E-commerce ได้แก่แพลตฟอร์ม Taobao และ Tmall ซึ่งมีผู้ใช้งานนับล้านคนทั้งในจีนและต่างประเทศ ทำให้ Alibaba เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
ความโดดเด่นของ Alibaba อยู่ที่นวัตกรรมที่ครอบคลุมในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น คลาวด์คอมพิวติ้ง (ผ่าน Alibaba Cloud), การชำระเงินดิจิทัล (ผ่าน Alipay) และ โลจิสติกส์ (ผ่าน Cainiao) โดยเฉพาะ Alibaba Cloud ที่กลายเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ระดับโลก และแข็งแกร่งเป็นพิเศษในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งให้บริการแก่ธุรกิจต่าง ๆ ด้านโซลูชัน AI, การเรียนรู้ของเครื่อง และการวิเคราะห์ข้อมูล
นอกจากนี้ การลงทุนของ Alibaba ในด้านบันเทิงและสื่อ (ผ่าน Youku Tudou และ Alibaba Pictures) รวมถึงด้านสุขภาพ (ผ่าน Alibaba Health) ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างระบบนิเวศที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในหลายด้าน Alibaba ถือเป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีที่มีการกระจายความเสี่ยงสูงและมีศักยภาพการเติบโต โดยเฉพาะในขณะที่จีนยังคงเดินหน้าสู่ยุคดิจิทัลและการขยายตัวของชนชั้นกลาง
2. Baidu (BIDU)
กลุ่มธุรกิจ: บริการอินเทอร์เน็ต, AI
Photographer: Andrea Verdelli/Bloomberg
Baidu ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 และได้รับการขนานนามว่าเป็น "Google ของจีน" ครองตลาดของ Search Engine ในจีนด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 70% หลังจากนั้น Baidu ได้ขยายธุรกิจไปยังเทคโนโลยีหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ ยานยนต์ไร้คนขับ
Baidu ลงทุนอย่างหนักในงานวิจัยด้าน AI โดยเฉพาะการประมวลผลภาษาแบบธรรมชาติและการประมวลผลรูปภาพ ความเชี่ยวชาญในด้าน AI นี้ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับ Search Engine ของ Baidu รวมถึงการให้บริการด้านการจำเสียงผ่านผู้ช่วยเสมือนอย่าง DuerOS ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Alexa ของ Amazon นอกจากนี้ Baidu ยังมีโครงการ Apollo ซึ่งเป็นโครงการยานยนต์ไร้คนขับที่บุกเบิกในวงการยานยนต์ไร้คนขับในจีน โดย Baidu ได้ร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่และหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อผลักดันรถยนต์ไร้คนขับเข้าสู่ตลาดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า Baidu เป็นอีกหนึ่งโอากาสในการลงทุนในเทคโนโลยี AI และยานยนต์ไร้คนขับ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของโลกในด้านการใช้ระบบอัตโนมัติและบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI แม้ว่าความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในจีนจะเป็นปัจจัยที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษ
3. JD.com (JD)
กลุ่มธุรกิจ: E-commerce, โลจิสติกส์
The company's headquarters in Beijing, China. Photographer: Qilai Shen/Bloomberg
JD.com ก่อตั้งขึ้นในปี 1998 โดยเริ่มต้นจากการเป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า และได้พัฒนากลายเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์ม E-commerce ที่ใหญ่ที่สุดในจีน JD มีรูปแบบธุรกิจที่โดดเด่นคือ การขายตรง ซึ่งแตกต่างจากโมเดลตลาดกลางของ Alibaba โดย JD เป็นเจ้าของสินค้าและขายสินค้าโดยตรงให้กับผู้บริโภค ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างเข้มงวดและสร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภค
JD ยังมีชื่อเสียงในด้านเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ทันสมัย ซึ่งรวมถึง โดรนส่งของ คลังสินค้าอัตโนมัติ และการจัดส่งสินค้าแช่เย็น ช่วยให้ JD สามารถให้บริการจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าภายในวันเดียวหรือวันถัดไปได้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศจีน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์นี้ช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเหนือแพลตฟอร์ม E-commerce อื่น ๆ
นอกจากนี้ JD ยังได้ขยายไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีด้วยการก่อตั้ง JD Cloud ที่เน้นการพัฒนา Big Data, AI และระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะ ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายของ JD ในการเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์ E-commerce ในเอเชีย
4. Pinduoduo (PDD)
กลุ่มธุรกิจ: E-commerce
Chan Long Hei/Bloomberg/Getty Images
Pinduoduo ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 และได้นำเสนอโมลเดลการค้าแบบใหม่ในรูปแบบของ Group Bying เข้าสู่ตลาด E-commerce ของจีน จนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในกลุ่มผู้ใช้งานวัยรุ่น ความแตกต่างจากแพลตฟอร์มE-commerceแบบดั้งเดิมก็คือ Pinduoduo มีโมเดลการขายที่ชวนให้ผู้ใช้สามารถชอปปิ้งได้แบบเป็น "กลุ่ม"พร้อมรับส่วนลดพิเศษ และยังให้ผู้ใช้สามารถแชร์สินค้าให้เพื่อนได้เพื่อชวนกันมาชอปปิ้งแบบเป็นกลุ่ม เพื่อราคาที่ถูกลงได้อีกด้วย
โมเดลนี้ช่วยให้ Pinduoduo สามารถตั้งราคาที่คุ้มค่าและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจเรื่องราคามากขึ้น นอกจากนี้ Pinduoduo ยังให้ความสำคัญกับ สินค้าภาคการเกษตร โดยเปิดพื้นที่ตลาดออนไลน์ให้เกษตรกรสามารถขายผลผลิตแบบสดๆให้กับผู้บริโภคโดยตรง
การดำเนินธุรกิจของ Pinduoduo ยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ชนบทของจีน ทำให้ภาพลักษณ์ Pinduoduo กลายเป็นเป็นแพลตฟอร์มที่ใส่ใจสังคมและผู้บริโภค
การจดทะเบียนในตลาดใหญ่อย่าง Nasdaq ในปี 2018 Pinduoduo ได้ขยายฐานผู้ใช้อย่างรวดเร็วและสามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่าง JD และ Alibaba ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. NIO (NIO)
กลุ่มธุรกิจ: รถยนต์ไฟฟ้า
A Nio Inc. ET7 electric sedan at the Shanghai Auto Show. Photographer: Qilai Shen/Bloomberg
NIO ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 และได้รับการขนานนามว่าเป็น “Tesla ของจีน” จากธุรกิจที่มุ่งเน้นไปที่การผลิต รถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม และเทคโนโลยีล้ำสมัย
NIO มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า SUV และล่าสุดคือซีดานไฟฟ้ารุ่น ET7 โดยเน้นที่การออกแบบคุณภาพสูงและความหรูหรา หนึ่งในบริการหลังการขายที่โดดเด่นของ NIO คือ การสลับแบตเตอรี่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่หมดประจุแล้วเป็นแบตเตอรี่ที่ชาร์จเต็มได้ในเวลาเพียง 3 นาที ที่สถานีของ NIO โดยไม่ต้องต่อคิวชาร์จแบตอีกต่อไป
โมเดล Battery-as-a-Service (BaaS) นี้ช่วยลดต้นทุนในการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า ให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายขึ้ และยังทำให้บริษัทได้กลุ่มผู้บริโภคที่กว้างขึ้นตามไปด้วย
ความสำเร็จของ NIO ส่วนใหญ่เกิดจากการสนับสนุนของรัฐบาลจีนที่มีต่อการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และความต้องการการคมนาคมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
6. NetEase (NTES)
กลุ่มธุรกิจ: เกม, ความบันเทิง
A pedestrian walks past the NetEase Inc. campus in Hangzhou.Photographer: Qilai Shen/Bloomberg
NetEase ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 และเป็นหนึ่งในบริษัทเกมและอินเทอร์เน็ตชั้นนำของจีน โดยกลุ่มธุรกิจหลักของ NetEase คือการพัฒนาเกมทั้งที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองและการร่วมมือกับผู้พัฒนาระดับนานาชาติ เช่น Blizzard Entertainment ซึ่งทำให้เกมยอดนิยมอย่าง “World of Warcraft” และ “Overwatch” เข้าถึงกลุ่มผู้เล่นชาวจีนได้สำเร็จ
NetEase ยังมีบทบาทสำคัญใน ตลาดเกมมือถือ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในจีน นอกจากนี้ บริษัทยังขยายไปสู่ธุรกิจ การศึกษา และ การสตรีมเพลง ผ่านบริการอย่าง NetEase Cloud Music และ Youdao
NetEase มุ่งเน้นการเติบโตในระดับสากล โดยใช้ประสบการณ์ด้านการพัฒนาเกมและการเป็นพันธมิตรกับผู้พัฒนาระดับโลกเพื่อขยายฐานผู้เล่นในต่างประเทศ
7. Luckin Coffee (LKNCY)
กลุ่มธุรกิจ: ขายปลีก, ร้านกาแฟ
Photographer: Gilles Sabrie/Bloomberg
Luckin Coffee ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดยมีเป้าหมายที่จะแข่งขันกับ Starbucks ผ่านการขยายสาขาร้านกาแฟทั่วประเทศจีนอย่างรวดเร็ว โดยใช้กลยุทธ์ Digital First ที่ให้ลูกค้าสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชันและรับเครื่องดื่มได้ที่คีออสก์ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลทองที่มีผู้คนผ่านไปมาเป็นจำนวนมาก
แม้จะเผชิญกับปัญหาด้านบัญชีในปี 2020 แต่ Luckin ก็สามารถฟื้นฟูภาพลักษณ์และขยายธุรกิจต่อไป โดยมุ่งเน้นกาแฟที่มีราคาย่อมเยาและความสะดวกสบายในการซื้อ ผลิตภัณฑ์ของ Luckin มีตั้งแต่กาแฟหลากหลายชนิดไปจนถึงผลิตภัณฑ์พร้อมดื่มต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีวิถีชีวิตเร่งรีบ
การเติบโตของ Luckin ขับเคลื่อนด้วยระบบที่เป็นมิตรกับเทคโนโลยี ทั้งระบบการจ่ายแบบไร้เงินสด และกลยุทธ์การตั้งราคาอย่างเหมาะสมเหมาะกับผู้บริโภคสมัยใหม่
สรุป
บริษัทสัญชาติจีนทั้งเจ็ดแห่งที่จดทะเบียนใน Nasdaq ครอบคลุมอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่ E-commerce และปัญญาประดิษฐ์ไปจนถึงยานยนต์ไฟฟ้าและเกม แต่ละบริษัทได้สร้างความโดดเด่นในอุตสาหกรรมของตนเอง และมีบทบาทในการสนับสนุนการเติบโตของตลาดโลก การลงทุนในหุ้นต่างประเทศอาจมีความท้าทาย แต่การทำความเข้าใจถึงหัวใจหลักของบริษัทเหล่านี้และอุตสาหกรรมของพวกเขาจะช่วยให้ทราบถึงข้อมูลเชิงลึกเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนที่จะลงทุนในตลาดสากล
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
photo :CardMapr.nl / unsplash.com